คำแนะนำของสูตินารีแพทย์
สัมผัส....สร้างลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์ (บทความจากนสพ ไทยโพสต์ XCite หน้า 14/วันที่ 10-11 มีค 2555)
สมองของทารกนั้นถูกสร้างขึ้น และมีการขยายหรือเติบโตของเซลล์ประสาทตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถบำงสมองของลูกน้อยให้ฉลาดได้ตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์เลยทีเดียว ดังคำกล่าวที่ว่า “กว่าจะรอคลอด ลูกน้อยก็อาจจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาความฉลาดและเปิดโลกการเรียนรู้สู่ศักยภาพสูงสุดได้” เพื่อให้พ่อแม่สามารถสร้างลูกฉลาดได้ตั้งแต่นาทีที่รู้ว่าจะมีสมาชิกคนใหม่นั้น “เอส-26 มันโกลด์” นมสูตรเฉพาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ได้นำข้อมูลที่น่าสนใจมาเผยแพร่
นายแพทย์มานิตย์ แสนมณีชัย สูตินารีแพทย์ ผู้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทารกตั้งแต่ในครรภ์ เผยว่า “แม้พันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อแม่ จะมีอิทธิพลต่อระดับสติปัญญาของลูกน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าการพัฒนาสมองและความฉลาดของลูกน้อยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สังเกตจากลูกสองคนที่ถือกำเนิดจากพ่อแม่เดียวกัน แต่อาจฉลาดไม่เท่ากัน ซึ่งอีก 2 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสร้างลูกน้อยให้ฉลาดตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ คืออาหารและสิ่งแวดล้อม
สำหรับแหล่งรวมสารอาหารโฟเลตที่เป็นประโยชน์กับเด็กในครรภ์ ได้แก่ผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม บร๊อกโคลี ฟักทอง และผลไม้ เช่น ส้ม ขณะที่แหล่งอาหารโปรตีนสำคัญที่คุณแม่สามารถรับประทาน คือ เนื้อ นม ไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีสารดีเอชเอที่มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาระบบประสาท สติปัญญาและความฉลาดของทารก ทั้งนี้คุณแม่ที่ดื่มนมเป็นประจำ นอกจากจะได้รับสารอาหารโปรตีนและแคลเซี่ยมแล้ว ปัจจุบันนมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ยังมีการเสริมโฟเลต ดีเอชเอ แคลเซี่ยม และกลุ่มวิตามินต่าง ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
นายแพทย์มานิตย์ได้ให้ความรู้เพิ่มเติมด้วยว่า ว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้ตั้งแต่ในครรภ์ ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แก่ สัมผัสทางกาย การได้ยิน การรับรส การมองเห็น และการรับกลิ่น ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่จะต้องทำด้วยความรักความผูกพัน และปราศจากความเครียด ในช่วงไตรมาศแรกของการตั้งครรภ์ทารกยังเป็นตัวอ่อนอยู่มาก แต่สามารถเริ่มรับรู้สัมผัสทางกายเมื่ออายุ 2 เดือน คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นสัมผัสลูกน้อยได้โดยการลูบหรือตบหน้าท้องเบา ๆ พร้อมพูดคุยกับลูก ทำอารมณ์ให้สดชื่น เมื่อคุณแม่มีความสุข ก็จะหลั่งสารแห่งความสุข (เอนดอร์ฟีน) และส่งผ่านไปยังลูกน้อยในครรภ์ ส่งผลให้ลูกเจริญเติบโตและมีอารมณ์ดี
เมื่อก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่สอง พลังวิเศษที่คุณแม่และคุณพ่อสามารถทำได้โดยง่ายดาย คือ การพูดคุย เล่านิทาน ร้องเพลงหรือเปิดเพลงสบาย ๆ ให้ลูกฟัง เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ การได้ยิน โดยในช่วงเดือนที่ 6 หูของทารกจะเริ่มทำงานได้เต็มที่ การพูดคุยกับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นอกจากจะก่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน และส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกได่ผลดีมากแล้ว ยังเป็นการเสริมพัฒนาการด้านการได้ยิน ภาษาและอารมณ์ของลูกด้วย
สำหรับในช่วงไตรมาสสุดท้าย ลูกน้อยสามารถได้รับการพัฒนาทั้งการรับรส การมองเห็นและการรับกลิ่น “ในเดือนที่ 7 ทารกในครรภ์จะสามารถรับรู้รสจากการกลืนน้ำคร่ำและอาหารที่คุณแม่ทาน อาทิ ในกรณีที่คุณแม่ติดทานรสชาดหวาน มีแนวโน้มว่าลูกจะติดทานรสชาดหวานในอนาคต และในระยะนี้ทารกจะลืมตารับรู้แสง และสามารถสนองตอบด้วยการดิ้น ซึ่งคุณแม่อาจเล่นกับลูกน้อยโดยการใช้ไฟฉายส่องแบบค่อย ๆ กะพริบ เพื่อให้แสงทะลุผ่านหน้าท้องไปที่น้ำคร่ำ ทำให้ลูกรู้ความแตกต่างของความมืดและความสว่างได้ และเมื่ออายุ 9 เดือน ประสาทสัมผัสด้านการได้กลิ่นจะเริ่มทำงานแม้จะยังไม่ชัดเจนนัก การใช้กลิ่นอโรมาอ่อน ๆ นอกจากจะทำให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังอาจสามารถกระตุ้นการรับรู้กลิ่นของทารกได้ “ นายแพทย์มานิตย์กล่าว
|